วันเสาร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

คะแนนการทดสอบ (TEST SCORES AS COMPOSSITES)



   ในปัจจุบันการทดสอบเพื่อหาคะแนน หรือวัดความสามารถจะเป็นการมีการทดสอบย่อย เช่น การทดสอบหน่วยการเรียนรู้ที่ 1 สิ่งมีชีวิติ ก็จะมีการทำการเก็บคะแนนจากการทดสอบย่อยๆ หรือ จากการปฏิบัติงานอื่นตามข้อตกลง แต่ในที่นี้จะขอกล่าวถึงเฉพาะการเก็บคะแนน จากการทดสอบย่อย (Subtest or Mini-test) เพื่อเป็นคะแนนรวมของหน่วยการเรียนที่ 1 ซึ่งการทดสอบย่อยจะมีสองครั้งหรือมากกว่า ก็ตามเนื้อหาที่ต้องการเก็บคะแนน ในการเก็บคะแนนในรูปแบบของ Test Scores As Compossites ผู้ออกข้อสอบต้องรู้ว่ามีอิทธิพลของข้อคำถามที่จะส่งผลต่อคะแนนรวม เช่นความยาวของข้อคำถาม ค่าความยาก เป็นต้น โดยในครั้งจะอธิบายความคำคัญของข้อคำถามรายข้อเพื่อเชื่อมโยงไปสู่คะแนนรวมของแบบทดสอบ (Test)
    ในการกำหนดค่าของคะแนนนั้น จะเป็นการกำหนดค่าให้กับคำตอบ โดยทั่วไปแล้วจะมีอยู่ 2 ลักษณะ คือ 1) ลักษณะสองคำตอบ (Dichotomous) คือจะกำหนดให้คำตอบที่เป็นตัวล่วงมีค่าเท่ากับ 0 ส่วนข้อที่ถูกจะให้มีค่าเท่ากับ 1 และ 2) ลักษณะไม่เป็นสองคำตอบ (Nondichotomous) เช่น แบบมาตราส่วนประมาณค่า การเขียนตอบสั้นๆ การเขียนคำตอบแบบเรียงลำดับเหตุการณ์ เป็นต้น


สถิติที่ใช้บรรยายตัวแปรที่ไม่เป็นสองคำตอบ (Nondichotomous)


   ในตัวแปร หรือคำตอบที่มีการตอบไม่ใช้ลักษณะ 2 คำตอบ จะมีการใช้สถิติเพื่อบรรยาย เช่น ค่าเฉลีย (Mean) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD) ความแปรปรวน (SD2) พิจารณาจากตารางดังนี้

 

    จากตารางข้างต้น มีผู้เข้าสอบทั้งหมด 10 คน แต่ละคนทำข้อสอบ คนละ 5 ข้อ ถ้าแสดงในลักษณะของเมทริกซ์จะมีการกำหนด แถว (Row) และ สดมภ์ (Column) คะแนนรวมเป็นการรวมคะแนนแต่ละคนคิดเป็นแถว มีทั้งหมด 10 แถว (จำนวนคน)  และมีทั้งหมด 5 สดมภ์ (ข้อสอบมี 5 ข้อ) ค่าเฉลี่ยแต่ละข้อ หาได้จากผลรวมของทุกคน จากข้อที่ 1 ถึงข้อที่ 1 มีสมการหาค่าเฉลี่ยในสมการทั่วไป


     และเมื่อหาการกระจายของชุดข้อมูลต้องมีการหาความแปรปรวน และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานก็หาได้จากรากที่สองของความแปรปรวน  โดยความแปรปรวนมีสูตรในการหาดังนี้

 

 
สถิติที่ใช้บรรยายตัวแปรที่เป็นสองคำตอบ (Dichotomous)
    ลักษณะของสองคำตอบในที่นี้จะเป็นการจำแนกออกเป็น หากตอบถูกจะกำหนดให้เป็น 1 ส่วนตอบผิดจะกำหนดให้เป็น 0 มีลักษณะคล้ายกับค่าความยาก (p) ในการหาคุณภาพของเครื่องมือเป็นรายข้อ โดยค่า p นั้นจะเป็นการแสดงอัตราส่วนของคนที่ตอบถูกส่วนตัวจำนวนคนทั้งหมด โดยต้องมีความเข้าใจหากมีการรายงานค่า p = 85 % หมายถึง มีผู้ตอบถูกคิดเป็นอัตราส่วนได้ .85  และผู้ตอบผิดคิดเป็นอัตราส่วนได้ .15 มีค่าเท่ากับการหาค่าเฉลี่ยด้วยวิธีการข้างต้น


     จากตารางข้างต้น ทำให้ทราบว่าค่าเฉลี่ย จะเท่ากับ ค่าความยาก (p) และความแปรปรวนจะเท่ากับ pq โดย q = 1-p  ในกรณีที่คำตอบเป็นลักษณะสองคำตอบ  Dichotomous  นั้นในการปรับปรุงเครืองมือเพื่อให้มีคุณภาพหลักปฏิบัติ ดังนี้
       1. ไม่ควรเพิ่มข้อคำถามโดยไม่จำเป็น เพราะการเพิ่มข้อคำถามนั้นจะทำให้ ความแปรปรวนเพิ่ม ส่งผลให้มีความคลาดเคลื่อนเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
        2. หากจำเป็นต้องเพิ่มข้อคำถามให้เพิ่ม ข้อที่มีความสัมพันธ์ใกล้เคียงกันมากที่สุด หรือข้อที่มีสัดส่วนค่าความยาก (p) ใกล้เคียงกัน จะทำให้มีความสัมพันธ์กันสูง และการเพิ่มขอบเขตของค่าความยาก จะทำให้มีความเชื่อมั่นมากขึ้น เพราะหากใช้เพียงค่าความยาก (p) ระดับปานกลาง .4 - .6 จะทำให้เกิดความแปรปรวนที่สูง ส่งผลให้ความคลาดเคลื่อนสูงตามไปด้วย
        3. ความแปรปรวนสามารถบอกคุณภาพของแบบทดสอบได้ หากมีการเปรียบเทียบเพื่อวัดในสถานการณ์หรือ สิ่งที่คล้ายกัน โดยด้วยแปรปรวนมากจะบ่งบอกถึงความคลาดเคลื่อนมากด้วย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

วัตถุประสงค์การวิจัย 3 ข้อ สูตรยาผีบอก

      นโยบายเปลี่ยน การปฏิบัติก็เปลี่ยน การทำวิจัยในครูก็ยิ่งลดลง เนื่องด้วยการประเมินวิทยฐานะแบบใหม่หรือเรียกกันติดปากว่า ว.21 วันนี้จะมาพ...