วันอังคารที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

นัยสำคัญทางสถิติและพาวเวอร์ของสถิติ (Statistical Significant Versus Statistical Power)


   ในการทำการทดสอบทางสถิตินั้น การวิเคราะห์พหุระดับเป็นการนำเสนอการวิเคราะห์ผ่านสถิติเชิงอ้างอิง ซึ่งเป็นการนำค่าสถิติที่เก็บข้อมูลมาได้จากกลุ่มตัวอย่าง นำกลับไปอ้างอิงหรือเทียบเคียงกับกลุ่มประชากร การกระทำของสถิติเชิงอ้างอิงนี้จะมีค่าความคลาดเคลื่อนที่นักวิจัยรู้และยอมรับได้คือ ค่าความคลาดเคลื่อนในการสุ่ม (Sampling Error)
   1.  ค่าความคลาดเคลื่อนประเภทที่ 1 (Type I Error) ใช้สัญลักษณ์คือ α อ่านว่า อัลฟ่า หมายถึง โอกาสที่จะปฏิบัติสมมติฐานศูนย์ (Null Hypothesis) ทั้งที่ สมมติฐานศูนย์เป็นจริง  โดยการกำหนดระดับความคลาดเคลื่อนประเภทที่ 1 นี้ ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์และธรรมชาติของงานวิจัย โดยขอบเขตที่นิยมตั้ง จะอยู่ที่ระดับ .01 และ .05   
   2.  ค่าความคลาดเคลื่อนประเภทที่ 2 (Type II Error) ใช้สัญลักษณ์คือ β อ่านว่า เบต้า หมายถึง โอกาสที่จะคงสมมุติฐานศูนย์ (Null Hypothesis) ทั้งที่ สมมติฐานศูนย์เป็นเท็จ โดยไม่นิยมตั้งระดับขอบเขตไว้

   สรุปความคลาดเคลื่อนทางสถิติมี 2 ประเภทคือ ค่าความคลาดเคลื่อนประเภทที่ 1 (Type I Error) ใช้สัญลักษณ์คือ α และค่าความคลาดเคลื่อนประเภทที่ 2 (Type II Error) ใช้สัญลักษณ์คือ β โดยไม่นิยมตั้งระดับขอบเขตพร้อมกัน เพราะ α และ β จะมีลักษณะความสัมพันธ์แบบตรงกันข้าม ถึงอย่างไรก็ตามนักวิจัยก็พยายามปรับให้ค่า α และ β อยู่ในระดับที่สมดุล สรุปได้ดังภาพ  






   จากภาพช่องบนซ้ายคือระดับความเชื่อมั่นของงานวิจัย ช่องล่างซ้ายคือระดับค่าความคลาดเคลื่อนประเภทที่ 1 (Type I Error) ที่นักจะเป็นคนตั้งระดับนัยสำคัญไว้ ช่องบนขวาคือ ความคลาดเคลื่อนประเภทที่ 2 (Type II Error) นักวิจัยจะไม่นิยมกำหนด  และช่องทางล่างขวาคือ อำนาจหรือความแกร่งของการทดสอบทางสถิติ โดยมีปัจจัยที่ทำให้เกิดความแกร่งดังนี้
   1. ค่าขนาดอิทธิพล (Effect size) เพราะจะเป็นการแสดงโอกาสให้เกิดความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับใดๆ ตามที่นักวิจัยกำหนด ค่าขนาดอิทธิพลนี้ไม่ใช้แค่แสดงการมีนัยสำคัญทางสถิติ แต่จะช่วยให้นักวิจัยรู้ถึงสาเหตุหรือแสดงหลักฐาน  ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของความแตกต่าง หรือความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร โดยในการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยต้องมีการเทีบบควบคู่กับส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน หรือแสดงหลักฐานด้านความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรจะเป็นการเทียบในรูปของคะแนนมาตรฐาน
   2. ระดับนัยสำคัญทางสถิติ (Alpha) หรือ α  ความคลาดเคลื่อนประเภทที่ 1 (Type I Error) เป็นเรื่องที่นักวิจัยพึงระวังในเรื่องของการตั้ง เพราะนักวิจัยต้องทำความเข้าใจธรรมชาติของงานวิจัย และต้องมีการเปรียบเทียบในระดับนัยสำคัญที่ระดับต่าง ๆ
    3. ขนาดกลุ่มตัวอย่าง (Sample size) การเพิ่มขนาดตัวอย่างจะส่งผลให้ การทดสอบทางสถิติมีระดับนัยสำคัญทางสถิติ เพราะจะทำให้ขนาดของกลุ่มตัวอย่างและประชากรมีความคลาดเคลื่อนที่น้อยลง ตัวอย่างเช่น มีกลุ่มประชากร 1000 คน เก็บกลุ่มตัวอย่างมา 850 คน จะส่งผลให้การทดสอบทางสถิติมีนัยสำคัญทางสถิติทันที ถึงแม้ว่าค่าขนาดอิทธิพลจะแตกต่างกันเพียงเล็กน้อยก็ตาม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

วัตถุประสงค์การวิจัย 3 ข้อ สูตรยาผีบอก

      นโยบายเปลี่ยน การปฏิบัติก็เปลี่ยน การทำวิจัยในครูก็ยิ่งลดลง เนื่องด้วยการประเมินวิทยฐานะแบบใหม่หรือเรียกกันติดปากว่า ว.21 วันนี้จะมาพ...