การวัดแบบดังเดิมนั้นค่าความเชื่อมั่นจะต่ำหรือสูงขึ้นอยู่กับ
ความสามารถของเด็กเป็นหลัก
หากนำไปทดสอบกับเด็กที่มีความสามารถที่แตกต่างกันโอกาสที่จะทำให้ได้ค่าความเชื่อมั่นจะสูง
ส่วนปัจจัยอื่นเช่น เพิ่มจำนวนข้อสอบหรือขยายขอบของค่าความยากนั้นถือว่าเป็นปัจจัยรอง
และข้อจำกัดของการวัดแบบดั่งเดิมนั้นคะแนนจริงจะได้จากการสองซ้ำ การสอบซ้ำนั้นจะต้องสอบด้วยข้อสอบที่มีความเป็นคู่ขนาน
เมื่อเป็นข้อสอบคู่ขนานแล้วก็จะมีข้อตกลงเบื้องต้นดังนี้
ความสัมพันธ์ระหว่างคะแนนจริงกับคะแนนความคลาดเคลื่อนจะเป็น 0 ความสัมพันธ์ระว่างความคลาดเคลื่อนของแบบสอบคู่ขนานก็เป็น 0 หรือไม่มีความสัมพันธ์กันนั้นเอง
คะแนนจริงหาได้จากค่าเฉลี่ยของคะแนนสังเกตได้
ส่วนค่าเฉลี่ยของความคลาดเคลื่อนจะเท่ากับ 0
เมื่อมีการพัฒนามากขึ้นก็เริ่มมีการศึกษาเกี่ยวกับทฤษฏีการวัดแบบใหม่
ที่ไม่จำเป็นต้องหาความเชื่อมั่นผ่านข้อสอบที่เป็นคู่ขนาน
ส่วนความคลาดเคลื่อนก็จะขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของการวัด
และสามารถวิเคราะห์ถึงแกนข้อสอบแต่ละแต่ละข้อกับความสามารถของผู้สอบ
โดยศึกษาได้จากโค้งของข้อสอบ ICC ซึ่งแบ่งได้ 3 รูปแบบ ดังนี้
รูปแบบที่ 1 เรียกว่า โค้งข้อสอบแบบพารามิเตอร์เดียว (One parameter model)
คุณลักษณะเด่นคือ
มี ค่าอำนาจจำแนก (a) คงที่ การเดา (C) เป็น 0
รูปแบบที่ 2 เรียกว่า
โค้งข้อสอบแบบพารามิเตอร์สอง (Two parameter model)
คุณลักษณะเด่นคือ
มี ค่าอำนาจจำแนก (a) แปรเปลี่ยนตามข้อสอบ การเดา (C) เป็น 0
รูปแบบที่ 3 เรียกว่า
โค้งข้อสอบแบบพารามิเตอร์สาม (Three parameter model)
คุณลักษณะเด่นคือ
มี ค่าอำนาจจำแนก (a) แปรเปลี่ยนตามข้อสอบ มีค่าการเดา (C)
จากภาพทำให้ทราบได้ว่ามีข้อสอบ
3
ข้อ เพราะมี 3 เส้นโค้งข้อสอบ เรียงลำดับข้อ 1
ถึง 3 จากบนลงล่าง
(3 ICC) วิเคราะห์ข้อสอบรายข้อได้ดังนี้
ข้อที่ 1 มีค่าความยากของข้อสอบ
เท่ากับ 0.5 และให้สารสนเทศคือ คนที่มีความสามารถ เท่ากับ .50
มีโอกาสในการตอบถูกข้อที่ 1 เท่ากับ .50
เมื่อความยากของข้อที่ 1 เท่ากับ .50
ข้อที่ 2 มีค่าความยากของข้อสอบ
เท่ากับ 1 และให้สารสนเทศคือ คนที่มีความสามารถเท่ากับ 1
มีโอกาสในการตอบถูกข้อที่ 2 เท่ากับ .50
เมื่อความยากของข้อที่ 1 เท่ากับ 1
ข้อที่ 3 มีค่าความยากของข้อสอบ
เท่ากับ 1.5 และให้สารสนเทศคือ คนที่มีความสามารถ 1.5
มีโอกาสในการตอบถูกข้อที่ 1 เท่ากับ .50
เมื่อความยากของข้อที่ 1 เท่ากับ 1.5
พิสูจน์ได้จากฟังก์ชันสมการการสะสมโค้งปกติ หรือฟังก์ชันสมการโลจิติกแบบพารามิเตอร์เดียว
ดังนี้
ตัวอย่างข้อสอบที่ 3
จากการแทนค่าลงไปในฟังก์ชันสมการโลจิติกแบบพารามิเตอร์เดียว
โอกาสในการตอบถูกเท่ากับ .50 ตรงกับกราฟแสดง แกน Y
= .05 หรือมีความหมายว่า คนที่มีความสามารถ 1.5 ทำข้อสอบที่มีค่าความยากเท่ากับ 1.5 จะมีโอกาสตอบคำถามข้อที่
3 ถูก .50 ส่วนในข้อที่ 1 และ 2 ก็มีการพิสูจน์ในลักษณะเดียวกัน